สศค. จับตาสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน มองยังอยู่ในวงจำกัดและมีแนวโน้มดีขึ้น กระทบความผันผวนตลาดเงิน ตลาดทุนไทย และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ชี้ภาพรวมกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค. ได้ติดตามและประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างใกล้ชิดตั้งแต่สถานการณ์ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2567 โดย สศค. ประเมินว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่อยู่ในวงจำกัดและการหาทางออกของความขัดแย้งของประเทศต่างๆ ทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะเกิดขึ้นในด้านต่างๆ ดังนี้
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวลดลงในวันนี้ (17 เม.ย. 2567) มาจากปัจจัยความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเช่นเดียวกัน ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยเปิดทำการหลังวันหยุดสงกรานต์ ประกอบกับยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การกำหนดวันจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ประเมินว่าประเทศอิหร่านมีสัดส่วนส่งออกน้ำมันดิบเพียง 1.5% ของการส่งออกน้ำมันดิบในตลาดโลก จึงประเมินว่า หากสถานการณ์ความขัดแย้งไม่ลุกลามจะไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
ขณะที่การนำเข้าของไทยจากประเทศอิสราเอลมีสัดส่วนที่ต่ำเพียง 0.15% และอิหร่านอยู่ที่ 0.003% ของมูลค่าการนำเข้าในปี 2566 (289.8 พันล้านดอลลาร์)
ทั้งนี้ ในด้านการลงทุนระหว่างไทยและประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางในไทย พบว่า ในปี 2566 มีมูลค่าอยู่เพียง 714.85 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเพียงสัดส่วน 0.23% ของมูลค่ายอดคงค้างเงินลงทุนรวมจากต่างประเทศในไทยทั้งหมด ทำให้ผลกระทบด้านการลงทุนโดยตรงจากตะวันออกกลางมายังไทยอาจจะได้รับผลกระทบไม่มากเนื่องจากสัดส่วนมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิจากภูมิภาคดังกล่าวมีสัดส่วนที่ต่ำ
ทั้งนี้ สศค. ได้ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายการคลังในระยะต่อจากนี้ไป จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง